วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

รีวิว ยามาฮ่า เอสอาร์400 Yamaha SR400

“ยามาฮ่า เอสอาร์400” Yamaha SR400



คงไม่ต้องอธิบายกันให้ยืดยาวกับกระแสความนิยมรถคลาสสิกจากค่ายส้อมเสียง เมื่อกล่าวถึงโมเดลรุ่น “ยามาฮ่า เอสอาร์400” ด้วยการยึดพื้นที่ในสายการผลิตมาอย่างยาวนานกว่า 35 ปี น่าจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ดี อยู่แล้วในระดับหนึ่ง
สำหรับความเป็นอมตะของตระกูลเอสอาร์เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1978 ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับรถสไตล์เอ็นดูโร่ ในสังกัดเดียวกันอย่างเอ็กซ์ที 500 (XT 500) หรือเป็นรุ่นที่ใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนา โดยแรกเริ่มเดิม ทีมีผลิตรุ่น 500 และ 400 ออกวางจำหน่ายเคียงคู่กันเสมอมา จนกระทั่งเมื่อปี 2001 ยามาฮ่าตัดสินใจ ลดสายการผลิตลงเหลือขนาดพิกัดน้อยกว่าเพียงรุ่นเดียวที่ยังคงทำตลาดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ขณะที่โฉมปีล่าสุดคันนี้ที่ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” มีโอกาสทดลองขี่ หน้าตาการออกแบบยังคงเอกลักษณ์ ดั้งเดิมตั้งแต่ยุค 70 ซึ่งความโดดเด่นอยู่ที่การใช้ไฟหน้าดวงใหญ่กลมโต ขนาบข้างด้วยไฟเลี้ยวทรงกลม ทั้งสองด้าน ส่วนประกอบของอุปกรณ์ส่วนควบต่างๆ หลายชิ้นเป็นโครเมียมเงาวับ เบาะนั่งตอนเดียวขนาด ใหญ่สีทูโทนมาพร้อมที่จับกันตกสำหรับคนซ้อน ไฟท้ายรูปทรงโบราณสี่เหลี่ยมอยู่ตรงกลาง ระหว่างไฟเลี้ยวด้านหลัง
สำรวจออฟชั่นที่ติดตั้งในส่วนหน้าปัดแสดงสถานะความเร็วและรอบเครื่องยนต์เป็นแบบเข็มอนาล็อก ตัวปรับตั้งทริประยะทางใช้แบบหมุนไขลาน ระดับน้ำมันเชื้อเพลิงจากถังความจุ 12 ลิตร แม้ไม่ได้บอกค่าว่ามีเหลืออยู่เท่าไร แต่จะมีสัญญาณไฟเตือนให้ผู้ขี่รับทราบหากเหลือน้อยหรือประมาณ 2 ลิตร
ต่อเนื่องมาที่ตำแหน่งสวิตช์แฮนด์ฝั่งขวาใช้ควบคุมการเปิด-ปิด การทำงานของเครื่องยนต์ พร้อมสัญญาณไฟฉุกเฉิน ส่วนแฮนด์ฝั่งซ้ายใช้ควบคุมไฟสูง-ต่ำ ไฟเลี้ยว แตร และไฟขอทาง แต่เวลาใช้ต้องกดด้านหน้าไม่ใช่ด้านหลังเหมือนรถสมัยใหม่ทั่วไป
ขณะเดียวกันโมเดลที่ทำตลาดในไทยมีการติดตั้งถังดักไอน้ำมันอยู่บริเวณด้านล่างฝั่งซ้ายของเครื่องยนต์ด้วย ซึ่งเมื่อเทียบกับสเปกที่ทำตลาดในประเทศญี่ปุ่นแล้วอุปกรณ์ดังกล่าวไม่ปรากฏ
ทั้งนี้ภาพรวมของตัวรถทั้งหมดแทบจะเหมือนยุคแรกในปี 1978 รวมถึงสิ่งสำคัญจะลืมไม่ได้ สำหรับจุดขายที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือ การใช้ระบบสตาร์ทเท้าตั้งแต่เริ่มต้นทำตลาดจนถึงปัจจุบัน โดยมาพร้อมตัวช่วยสวิตช์ยกวาล์วอยู่ที่แฮนด์ฝั่งซ้าย หากดึงแล้วสามารถกดคันสตาร์ทเพื่อหามาร์ก สำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้สะดวกขึ้น (เมื่อจับจังหวะได้แล้ว ตัวช่วยนี้ก็แทบไม่ได้ใช้)
อย่างไรก็ตาม หากพบเห็นเอสอาร์คันที่ใช้การสตาร์ทด้วยมือ นั่นแสดงว่าเป็นการปรับแต่งติดตั้งเพิ่มเติม เข้าไปใหม่หลังออกจากโรงงานมาแล้วอย่างแน่นอน
ว่ากันที่สมรรถนะการขี่กันบ้าง เริ่มจากท่านั่ง ตำแหน่งการวางเท้า ความสูงของแฮนด์บังคับ ทุกส่วนอยู่ในระดับพอดีที่ให้ความสบายแก่ผู้ควบคุม เช่นเดียวกับระบบช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบเทเลสโคปิก ด้านหลังโช้กอัพคู่สามารถปรับค่าความแข็งของสปริงได้ โดยทั้งหน้าและหลังเซตมาค่อนข้างนุ่ม เน้นการใช้งานที่ไม่ต้องการความเร็วมากนัก สอดคล้องกับวงล้อรอบคันขนาด 18 นิ้ว ที่ใช้ระบบเบรกหน้า แบบดิสก์ หลังดรัม รับมือได้ดีไม่มีปัญหา สำหรับการขี่แบบชิลๆ ตามสไตล์รถแนวเรโทร
ส่วนของขุมพลังเครื่องยนต์ 4 จังหวะ SOHC สูบเดียว ขนาดความจุ 399 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยอากาศ ระบบจ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีด ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 5 สปีด ให้กำลังสูงสุด 26 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 29 นิวตัน-เมตรที่ 5,500 รอบต่อนาที อัตราเร่งมาเร็วทันใจ การส่งกำลังไหลลื่น ต่อเนื่องไม่มีสะดุด แม้ช่วงรอบสูงจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะท้านจากเครื่องยนต์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าน่าเกลียด เพราะเป็นเรื่องปกติของรถสูบเดียวพิกัดระดับนี้อยู่แล้ว
สำหรับความเร็วที่เหมาะสมในการใช้งานอยู่ระหว่าง 60-80 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ยามาฮ่าเคลมอัตราประหยัด น้ำมันเชื้อเพลิง 41 กิโลเมตร/ลิตร ด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ซึ่งเผื่อไว้ในจังหวะเร่งแซง ขณะที่ความเร็วในการทดลองขี่ครั้งนี้ เกียร์ห้า รอบเครื่อง 4,500 รอบต่อนาที ความเร็วอยู่ที่ 100 กม./ชม.
ราคา Yamaha SR400 ยามาฮ่า SR400 265,000.
*รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม, รวมทะเบียน + พรบ. แล้ว
**ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับแต่ละ Dealer และพื้นที่นั้นๆ
ราคา ยามาฮ่า SR400 ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์
RETURN OF THE LEGEND REV TO THE 21st CENTURY รถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า SR400 หรือ “Big Single” เสน่ห์ของความเป็นต้นแบบสไตล์ Retro คุณค่าที่แท้จริงเหนือกาลเวลาจากยุค 70 ด้วยเครื่องยนต์สูบเดี่ยว 400cc และเสียงกระหึ่มที่ครองหัวใจนักบิดมากว่า 35 ปี วันนี้ SR400 2014 ยังเต็มไปด้วยพลังดึงดูดระดับตำนานไว้เต็มๆ โดยเฉพาะระบบ KickStart อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพิ่มความน่าหลงใหลให้นักบิดรุ่นใหม่ที่ต่างเฝ้ารอที่จะครอบครอง SR400 ต้นแบบแห่งคุณค่าที่แท้จริง
SPECIFICATION Yamaha SR 400
รุ่นYamaha รุ่น SR 400
แบบเครื่องยนต์4 จังหวะ สูบเดี่ยว ระบายความร้อนด้วยอากาศ
ปริมาตรกระบอกสูบ399 ซีซี
กระบอกสูบ x ระยะชัก87.0 x 67.2 มม.
ชนิดหัวเทียนBPR6ES (NGK)
ระบบจุดระเบิดที.ซี.ไอ.(T.C.I.)
อัตราส่วนกำลังอัด8.5 : 1
ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์สตาร์ทเท้า
ชนิดน้ำมันเชื้อเพลิงน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10/E20 หรือเบนซินค่าออกเทน 91 ขึ้นไป
ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง12 ลิตร
ระบบหล่อลื่นแบบอ่างแห้ง
ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหัวฉีด
ระบบคลัตช์แบบเปียก (คลัตช์หลายแผ่น)
ระบบส่งกำลังแบบเกียร์ 5 ระดับ
ปริมาณน้ำมันเครื่อง2.0 ลิตร
ชนิดของเฟรมเซมิดับเบิ้ลคาเดล
มุมคาสเตอร์ / ระยะเทล27.70 องศา / 111 มม.
กว้าง x ยาว x สูง750 x 2,085 x 1,095 มม.
ความสูงจากพื้นถึงเบาะ785 มม.
ระยะห่างจากพื้นถึงเครื่อง130 มม.
ระยะห่างระหว่างล้อ1,410 มม.
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด2,400 มม.
น้ำหนักตัวรถ174 กก.
ระบบกันสะเทือน หน้าแบบเทเลสโกปิค
ระบบกันสะเทือน หลังแบบสวิงอาร์ม
ระบบเบรก หน้าดิสก์เบรก
ระบบเบรก หลังดรัมเบรก
ยางหน้า90/100-18M/C 54S
ยางหลัง110/90-18M/C 61S
ชนิดของล้อแบบซี่ลวด
ขนาดล้อหน้า/หลัง18 x 1.85 / 18 x 2.15
ไฟหน้า(ขนาด/แบบ)12 V,60.0 W /55.0 W x 1 (หลอดฮาโลเจน)
ไฟท้าย/ไฟเบรก12 V, 5.0 W/21.0 W x 1
แบตเตอรี่12 V, 2.5 Ah/GT4B-5 (แบตเตอรี่แบบแห้ง)

COLOR สี YAMAHA SR 400

YAMAHA SR400 มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ 1.สีขาว 2.สีดำ
YAMAHA SR 400 สีขาว
YAMAHA SR 400 สีดำ
Credit : http://www.108engine.com/Review-Motorcycle/2015/Review_Motorcycle15_01.asp#.V1k1kPmLS00 , http://www.9carthai.com/yamaha-sr400-price/

รีวิว TRIUMPH STREET TWIN

TRIUMPH STREET TWIN อย่าให้รูปลักษณ์ และสเปค มาตัดสินความสนุกในการขับขี่

โดย  /  / 11,896 views
Cover
ก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณทาง Triumph Motorcycles Thailand และ Britbike ที่ให้เกียรติกับผมได้ทำการขับขี่ไปบน Triumph Street Twin ใหม่เอี่ยมคันนี้ กับการเดินทางอีกครั้งนึง ที่ประกอบไปด้วยเส้นทางที่หลากหลาย และครบทุกการจราจร
Triumph Street Twin จัดว่าเป็นรถในคลาส Bonneville หรือเราเรียกกันว่า Classic ของ Triumph ซึ่งชื่อ Bonneville ผ่านร้อนผ่านหนาวมาร่วม 60 ปี และในปีที่แล้วเองทาง Triumph ก็ได้ทำการเปิดตัว Bonneville Series ใหม่ อย่างเป็นทางการในบ้านเราไปแล้วทั้งหมด 5 รุ่นด้วยกันคือ
  • Triumph Bonneville T120 / T120 Black ที่คงเอกลักษณ์ที่ข้ามผ่านกาลเวลาไว้อย่างครบครัน
  • Triumph Thruxton / Thruxton R กับการจุติมากำเนิดใหม่ของตำนานแห่งเจ้าถนน
  • Triumph Street Twin ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยคงเอกลักษณ์ความเรียบง่าย และคงความร่วมสมัยไว้ ภายใต้ 3 คอนเซปต์หลักคือ สร้างขึ้นเพื่อให้สนุก, เพื่อให้ขับขี่, เพื่อให้ตกแต่งเป็นของตัวเอง
โดยคราวนี้เราได้มีโอกาสเดินทางไปยัง จ.เชียงใหม่ เพื่อร่วมในกิจกรรมทดสอบ Triumph Street Twin โดยใช้เส้นทาง เชียงใหม่-พะเยา-เชียงใหม่ ตามนี้เลยครับ
map
โดยในวันแรกเราจะจัดกันเต็มๆ !
  • ออกเดินทางจากจังหวัดเชียงใหม่
  • มุ่งหน้าตรงยาวๆบนทางหลวงหมายเลข 118
  • แยกเข้าเพื่อไปเล่นสนุกกับโค้งบนเส้น 120
  • เดินทางกลับโดยใช้เส้นทางเดิม เนื่องจากเวลาไม่อำนวยให้ขึ้นไปยังจังหวัดเชียงราย
ส่วนในวันที่สอง
  • ขับขี่ในตัวเมืองซักเล็กน้อย
  • มุ่งขึ้นดอยสุเทพไปชิวๆ ก่อนเดินทางกลับกัน
โดยในกิจกรรมครั้งนี้ทาง Triumph จะไม่มีการแจ้งว่ารถคันนี้มีสเปคเป็นอย่างไร มีกี่เกียร์ แรงบิด แรงม้าเท่าไหร่ ไม่มีการอธิบายการทำงานของตัวรถ แม้กระทั่งเปิดฝาน้ำมัน เพื่อให้พวกเราทุกคนได้สัมผัสกับรถเองเต็มๆ มีเพียงแนะนำเส้นทาง พร้อมเบอร์รถเซอร์วิสเผื่อกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ที่เหลือตามสบาย ดังนั้นผมจะขอยกสเปคของตัวรถไว้ล่างสุดแทน ซึ่งต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า
“อย่าให้รูปลักษณ์ และสเปค มาตัดสินความสนุกในการขับขี่”
เช่นเคยเพื่อความกระชับขอแบ่งหัวข้อไว้ตามนี้เลยนะครับ
  • รูปลักษณ์ทั่วไป
  • สัดส่วนคน และรถ
  • การขับขี่ในสภาพถนนต่างๆ
  • อัตราสิ้นเปลือง
  • ข้อดี/ข้อเสีย/ข้อสังเกต
  • น่าจะเหมาะกับ
  • สรุป
  • เสริม – รายละเอียดทางเทคนิค สักนิดจะได้ครบครัน
พิเศษ คลิปแนะนำตัวรถแบบง่ายๆ ทางนี้เลย
รูปลักษณ์ทั่วไป
triumph_street_twin1-4
สำหรับ Triumph Street Twin มากับความเรียบง่าย ง่ายยังไง มาไล่ดูกันเลยครับ
[ปะกับไฟทางซ้าย] มีเพียง 4 ปุ่มจบ
  • สัญญาณไฟสูง / pass
  • ปุ่ม info บอกข้อมูลการขับขี่ และตั้งค่า จะเรียกว่าปุ่มมหัศจรรย์เลยก็ได้
  • สัญญาณไฟเลี้ยว
  • สัญญาณแตร
[ปะกับไฟทางขวา] มากับ 2 ปุ่มจบ
  • ปุ่ม Off-Run และ สตาร์ทเครื่องยนต์
  • สัญญาณไฟ hazard หรือไฟผ่าหมาก
[ฝาถังน้ำมัน] เป็นแบบบิดกุญแจปลดล็อค แล้วขันออก
triumph_street_twin-5
[เรือนไมล์] เป็นการออกแบบทรงกลมเพื่อให้เรียบง่ายที่สุดแต่แสดงข้อมูล “เกือบครบ” จะขาดก็การแสดงรอบการทำงานของเครื่องยนต์นะครับ คือใช้เดาเอาล้วนๆ
ส่วนเจ้าเรือนไมล์กลมๆเล็กๆนี้ มีแสดงข้อมูลตามนี้เลยครับ
  • ความเร็ว
  • ไฟบอกเกียร์
  • ข้อมูลในการขับขี่ (ODO , Trip 1 , Trip 2)
  • ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง
  • ระยะที่ยังวิ่งต่อไปได้
  • ไฟเดือนระยะเซอร์วิส
  • นาฬิกา
  • อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย
  • อัตราสิ้นเปลืองขณะขับขี่
  • ไฟแสดงสถานะของ Traction Control
  • [อุปกรณ์เสริม] แสดงสถานะลมยาง
  • [อุปกรณ์เสริม] heated grip
ทั้งหมดนี้ในเรือนไมล์เล็กๆที่ดูไม่มีอะไรนี่แหล่ะครับ ซึ่งก็ทำให้แปลกใจได้เหมือนกัน
[ไฟท้าย] มากับไฟท้ายแบบ LED สว่างและเคลียร์มองเห็นได้ชัดเจน
triumph_street_twin-6
[ช่องพลังงาน!] ด้วยความซนเปิดเบาะออกมาเล่นทำให้พบกับ พอร์ตชาร์จ USB ใต้เบาะผู้ขับขี่ ใช้ชาร์จอุปกรณ์สื่อสารเวลาเดินทางได้สบายๆเลยทีเดียวครับ
[หม้อน้ำ] หม้อน้ำบางเฉียบ วางตำแหน่งในแนวตั้ง ขนาดกว้างพอๆ กับเฟรมรถ พร้อมการ์ดหม้อน้ำที่ติดมากับตัวหม้อน้ำ

สัดส่วนคน และรถ
rider163
กับผู้ขับขี่เดิมที่ยังมีความสูงไม่เปลี่ยนแปลงที่ 163 cm และน้ำหนัก 65 kg ลงได้ “ครึ่งเท้า” แบบสบายๆ การวางน้ำหนักของรถดี การยกรถขึ้นตั้งตรงรู้สึกไม่ต่างจากรถเล็กทั่วไปเลยครับ เบาๆ เลยทีเดียว สรีระของรถเพรียวบาง จนบางครั้งก็แปลกใจว่านี่คือรถมอเตอร์ไซค์ Bonneville นะเนี่ย มันช่างต่างกับที่เคยคร่อมมาก่อนหน้านี้ยิ่งนัก

การขับขี่ในสภาพถนนต่าง #บนการจราจรพลุกพล่าน
triumph_street_twin-5118
มุมมองจากผู้ขับขี่โล่งๆ ให้สัมผัสกับการเดินทางได้อย่างน่ารื่นลม (คือ “ลม” เต็มๆนั่นเอง ^^)
การขับขี่ในการจราจรติดขัดบน Street Twin ทำได้ “ง่ายมาก” และ “คล่องตัว” คลัชที่นุ่มนวล และเบามือ ผสานกับแรงบิดที่ส่งออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มปล่อยคลัช ทำให้การเดินคันเร่งผ่านสภาพจราจรทำได้อย่างง่าย การเลี้ยงรถในรอบต่ำทำได้ง่าย ผสานกับสรีระของตัวรถที่ดูเพรียวๆ บางๆ คันนี้ พริ้วไหวได้ตามจังหวะของการจราจรได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
แต่ทั้งนี้เค้ามากับแรงบิดที่ดีตั้งแต่รอบต่ำ หรือก็คือประมาณบิดนิดนึงพร้อมจะพุ่งหล่ะ ถ้าเผลอเปิดเยอะไป แล้วดีดคลัชออกหล่ะก็ … เตรียมจะทะยานกระโจน กระโดด พุ่งออก ได้ทันทีเลยเหมือนกัน
แม้พื้นฐานเครื่องยนต์แบบ Parallel Twin ที่ขึ้นชื่อเรื่องความร้อนที่สูญเสียออกมา แต่บน Street Twin จอดรถติดๆนิ่งๆ ได้แบบชิวๆ หม้อน้ำทรงเล็กๆ บางๆ ที่ทาง Triumph บอกว่านี่คือการออกแบบมาใหม่ ช่วยควบคุมความร้อน และเสถียรภาพของเครื่องยนต์ได้เป็นอย่างดี เมื่อพัดลมทำงานจะมีอุ่นๆบ้าง แต่ถือได้ว่าเย็นแล้วหล่ะครับ

การขับขี่ในสภาพถนนต่าง #การเดินทางบนเส้นทางหลัก
triumph_street_twin-5143
แม้ว่าสรีระของรถที่ดูไม่อำนวยให้ใช้ในการเดินทางยาวๆ บนทางหลัก จากลมที่จะเข้ามาปะทะผู้ขับขี่ที่ย่านความเร็วสูงได้ค่อนข้างเยอะพอสมควร (แหงหล่ะเปิดโล่งขนาดนี้)
แต่ด้วยแรงบิดที่มาให้ตั้งแต่รอบต่ำๆ ความนุ่มนวลของเกียร์​ ผสานกับการส่งกำลังที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง และนิ่มนวลตลอดย่านรอบการใช้งาน ทำให้ Triumph Street Twin ก็พร้อมที่จะเป็นรถที่ใช้ในการเดินทางได้ทันที
พื้นฐานของช่วงล่างตอบสนองดี ยิ่งรวมกับเบาะของผู้ขับขี่ที่นิ่มๆสบายๆ ยิ่งทำให้การเดินทางที่เราทำกันประมาณ 350 กม. ทำได้อย่างสบายเลยทีเดียว ช่วงล่างให้ความนุ่มนวล แต่ยังคงตามติดกับสภาพถนนต่างๆในการเดินทางได้อย่างดี อาการยวบยาบ แทบไม่มีให้รู้สึกได้
และด้วยเบาะของผู้ขับขี่ที่ค่อนข้างยาว ทำให้สามารถหาตำแหน่งที่เหมาะสมได้ง่าย ไม่โดนบังคับด้วยความยาวของเบาะ คือ คนตัวสูงหน่อยก็เขยิบไปด้านหลังได้ง่าย คนตัวสั้นแบบผมก็นั่งได้พอดีๆ ตำแหน่งของแฮนด์บาร์เหมาะสม ยิ่งเอื้อให้การขับขี่ทำได้อย่างคล่องตัวมากเลยทีเดียว
ท้งนี้ Street Twin มากับ “5 เกียร์” และคันเร่งไฟฟ้า ซึ่งสำหรับผมคันเร่งมีระยะบิดที่น้อยไปนิดนึง คือบิดได้นิดนึงอ่ะจะสุดแล้ว พอขึ้นถึงเกียร์ 5 ก็ควานหาเกียร์ 6 ต่อ เป็นแบบนี้อยู่สักพักเลยทีเดียว แต่ก็ไม่นานครับ พอเริ่มรู้ระยะคันเร่ง กับตำแหน่งเกียร์แล้วก็ขับขี่ได้ชินมือมากขึ้น

การขับขี่ในสภาพถนนต่าง #ช่วงเวลาเพลินกับทางเขา ทางโค้ง
triumph_street_twin-4993
“อย่าให้รูปลักษณ์ และสเปค มาตัดสินความสนุกในการขับขี่”
สิ่งที่ Triumph Street Twin ทำได้น่าประทับใจ … อย่างน่าแปลกใจ… คือ เส้นทางเขา ทางโค้งต่อเนื่องยาวๆ ที่ทำให้รูปลักษณ์ที่ดูเหมือนจะเชื่องช้า นั้นตรงกันข้ามกับการขับขี่ที่ควบคุมได้ง่าย และพลิกรถเข้าโค้งต่อเนื่องได้อย่างคล่องตัว
แรงบิดที่ให้มาตั้งแต่รอบต่ำๆ ยิ่งทำให้ผู้ขับขี่สามารถเดินคันเร่งออกตามทางชันได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องคอยพะวงว่าต้องเลี้ยงรอบให้สูงเพื่อให้มีแรงไต่ขึ้นทางชันๆ เพราะแค่เดินคันเร่งรอบต่ำๆส่งออกไป Street Twin ก็พร้อมจะพาทะยานออกโค้งได้ทันที
พร้อมด้วยช่วงล่างของรถตอบสนองต่อโค้ง S ต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี ตามติดกับผิวถนนได้อย่างต่อเนื่อง อาการดีด ยวบ ย้วย แทบไม่มีให้รู้สึกได้ จะมีบ้างคือเวลาเราพลิกโค้งแรงแบบจงใจให้ยวบนั่นหล่ะครับ ทั้งนี้น้ำหนักตัวผมที่ 65 kg กับการตั้งค่าจากโรงงานก็ตอบสนองได้ดีแล้ว แต่ถ้าน้ำหนักเยอะกว่านี้น่าจะต้องปรับพรีโหลดให้เหมาะสมขึ้น
การวางน้ำหนักของรถทำได้ดี การกระแทกคันเร่งส่งออกจากโค้ง หรือเร่งส่งในระยะสั้นๆ แทบไม่มีอาการหน้าสั่นๆ หรือสะบัด แบบที่เราเจอได้บนรถที่มีแรงบิดหนักๆ แฮนด์บาร์ยังคงนิ่มนวล และตอบสนองต่อผู้ขับขี่ได้ตลอดเวลา
ทั้งนี้เล่นสนุกกับโค้งกันอย่างพอดีนะครับ อย่าลืมว่าพักเท้าวางตำแหน่งให้นั่งสบาย เพราะฉะนั้นจะต่ำพอสมควร สนุกมากไป มีสิทธิ์เอาเซนเซอร์ไปขูดพื้นถนนให้เหวอได้นะเอ้อ … เพราะ … ผมเอารองเท้าผมขูดจนแหกไปเรียบร้อย (= =”)

อัตราสิ้นเปลือง
triumph_street_twin-5168
เล่นสนุกจนเพลิน มาลุ้นกันตอนเติมน้ำมันเนี่ยแหล่ะน้า
บรรยายไม่ถูกดูกันเลยดีกว่าครับ กับรถ 2 คันที่เติมน้ำมันเต็มๆ พร้อมกัน และวัดโดยจับระยะทาง หารกับน้ำมันที่เติมเข้าไปใหม่
Screen Shot 2016-02-15 at 12.47.44 AM
ถึงตอนนี้ยังคงสงสัยว่า “คำนวณอะไรพลาดไปรึเปล่า” เพราะ สิ่งที่ Street Twin คันนี้ทำได้ มัน “ประหยัดเกินไปหล่ะ” เพื่อนๆที่รับรถไปแล้วแนะนำกันได้นะครับว่าใช้อัตราสิ้นเปลืองกันเท่าไหร่ อันนี้ผมแปลกใจเหมือนกันว่า ทำได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ยทั้ง 2 คัน ระยะทางเดียวกัน ขับขี่คนละแบบ ได้อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 24.12 km/litre ถึง 32.9 km/litre เชียว
แต่พอได้เห็นสเปคเต็มๆแล้วก็ … ดูในตารางหัวข้อสเปคล่างสุดเลยครับ

ข้อดี / ข้อเสีย / ข้อสังเกต
triumph_street_twin-4848
ข้อดี
  • จากที่ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่กลายเป็นว่า Street Twin เป็นรถคลาสสิก ที่ขับขี่ได้ “สนุก” เกินคาดเลยทีเดียว “ยิ้มมุมปาก” อยู่ได้เรื่อยๆที่ได้ขับขี่
  • Street Twin เป็นรถที่ดูเรียบง่าย ไม่มีอะไรที่เป็นส่วนเกิน มีแค่เท่าที่จำเป็นกับรถคันนึง
  • การคอนโทรลรถทำได้ง่าย และคล่องตัวจนลืมไปว่านี่คือรถน้ำหนักร่วม 210 kg
  • มีระบบไฟฟ้าเข้ามาช่วยผู้ขับขี่เหมือนกันไม่ว่าจะเป็น Traction Control และ ABS ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้พอสมควรเลยทีเดียว
  • ปะกับไฟใช้งานง่าย การตั้งค่าต่างๆทำได้ง่าย เรียนรู้การใช้งานได้ไว (ไวกว่ารุ่นอื่นๆของ Triumph ยิ่งนัก)
  • แรงบิดมาต่อเนื่อง และช่วงรอบกว้าง เดินคันเร่งได้ง่าย
  • คลัชนุ่มมือ แรกๆจะแปลกๆนิดหน่อยกับระยะคลัช แต่ปรับตัวได้ง่าย
  • ประหยัดน้ำมันจนน่าแปลกใจ !
ข้อเสีย / ข้อสังเกต
  • ช่วงเดินคันเร่งเกียร์ 1 รอบต่ำๆ ตามสภาพการจราจรติดขัด มีอาการสะดุด เด้งหน้าหลังได้นิดหน่อย แต่ใช้คลัชช่วยนิดนึงก็หมดไป ทั้งนี้คลัชของ Street Twin เป็น Slip-Assist นะครับ คือยอมให้มีการสลิปได้นิดนึง
  • ให้มา 5 เกียร์​แหม่ แรงบิดดีขนาดนี้เสริมเกียร์ 6 overdrive (อัตราทดต่ำกว่า 1) มาให้ก็ไม่ได้ จะได้ยิ่งประหยัดน้ำมันช่วงเดินทางได้อีกพอสมควรเลยทีเดียว
  • เข้าใจว่าหน้าปัทม์ทำให้เรียบง่าย แต่ก็ยังอยากได้อะไรไว้บอกรอบสักนิดนึงเหมือนกันน้า
  • พอร์ต USB ที่วางหลบไว้ใต้เบาะส่วนตัวผมรู้สึกเข้าถึงยากไปนิดนึง ลากสายออกมาแล้วมีโอกาสลืมว่าเสียบชาร์จอยู่ได้เหมือนกัน

น่าจะเหมาะกับ
triumph_street_twin-4948
น่าจะเหมาะกับ
  • เพื่อนๆที่ชอบรถในแบบ คลาสสิกอยู่แล้ว (แหงหล่ะ)
  • ต้องการรถที่ใช้งานได้ทั้งในชีวิตประจำวัน และยังคงใช้เดินทางท่องเที่ยวได้สบายๆบนความเร็วเดินทางที่ 80-120 km/hr
  • ชอบแต่งรถ ! แหม่ จัดเลยครับ Street Twin สำหรับผมเป็นรถที่มีพื้นฐานให้เอามาแต่งให้เต็มที่ ปรับให้เต็มสูบ พร้อมที่จะสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองได้ง่ายๆเลย
  • “มือใหม่” เริ่มต้นขับขี่มอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ Street Twin คือ Triumph ในยุคใหม่ ที่วางตัวเองให้ขับขี่ได้ง่าย เข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกสรีระ แต่ทั้งนี้แรงบิด และความเร็วก็ฉีกออกมาจากรถทั่วไปเยอะนะครับ ฝึกฝน และเรียนรู้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนประกอบไปด้วยจะดีกว่ามาก
สรุป
triumph_street_twin-18
หากว่าการใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน และยังคงเอกลักษณ์ในความเป็น Bonneville ที่ร่วมสมัยได้อย่างลงตัว คือสิ่งที่ต้องการแล้วหล่ะก็ Street Twin คันนี้ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ต้องบอกว่านี่คือยุคใหม่ของ Triumph ที่ก้าวไปอีกขั้นนึง ที่ทำให้การขับขี่ทำได้ง่าย และคล่องตัวขึ้นมาก
สเปคของตัวรถที่ดูไม่หวือหวา แรงม้าที่ไม่ได้มากมายอะไร แต่สิ่งที่แลกมาคือ แรงบิดที่ส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง และ “มาเต็มๆ” ตั้งแต่รอบต่ำผสานกับช่วงล่างที่ลงตัว ทำให้การขับขี่ทำได้อย่างสนุกสนาน จนเรียกว่า “ขี่ไปยิ้มไป” ได้เลยทีเดียว
การใช้งานจริงในสภาพการจราจรหนาแน่นของตัวเมืองทำได้คล่องตัว วงเลี้ยวของรถค่อนข้างแคบ สรีระรถที่เพรียวบางทำให้สามารถผ่านการจราจรไปได้แบบง่ายๆ “แต่” ก็พร้อมที่จะทะยานออกไปค้นหากับการเดินทางได้ทันทีเลยเหมือนกัน
รูปลักษณ์ของรถ classic (ทาง Triumph จะเรียกว่า Bonneville) ที่มากับท่านั่งสบายๆ การทำงานของเครื่องยนต์ที่นิ่มนวล ตรงกันข้ามกับสมรรถนะ ของรถที่ให้แรงบิดที่ดีตั้งแต่ปล่อยคลัช ยิ่งผสานกับพื้นฐานของช่วงล่างตอบสนองได้กับทุกสภาพเส้นทาง ตามติดได้ต่อเนื่องบนการใช้งานในชีวิตประจำวัน และการเดินทาง ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเล่นสนุกไปกับเค้าได้ทันทีอย่างมั่นใจ จากรถที่ใช้ในการขับขี่แบบสบายๆ ก็พร้อมที่จะตอบสนองต่อ “อารมณ์” ที่พลุ่งพล่านไปบนเส้นทางได้เลย
ไปลองด้วยตัวเองเลยครับที่ Triumph ทั้ง 7 สาขา กับนิยามสั้นๆว่า Street Twin คือรถที่ “ขี่ง่าย” “สนุก” และคงเอกลักษณ์ของ “Bonneville”อย่างลงตัว
สุดท้ายนี้ผมเองคงต้องย้ำอีกครั้งไว้เตือนตัวเองด้วยว่า
“อย่าให้รูปลักษณ์ และสเปค มาตัดสินความสนุกในการขับขี่”
(เสริม) รายละเอียดทางเทคนิค
triumph_street_twin-4953
นอกจากสเปคของตัวรถแล้ว Triumph Street Twin ยังมากับระบบที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเดินทางได้อย่างสนุกสนาน และปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วย ABS และ TTC (Triumph Traction Control) ที่ตอบสนองได้ค่อนข้างดี ซึ่ง Traction Control ที่สามารถเลือกปิดได้นี้ จะทำงานร่วมกับคันเร่งไฟฟ้า ที่บิดได้นุ่มมือ พร้อมด้วย Slip Assist Clutch ที่ให้การใช้คลัทช์ต่อเนื่องในสภาพการจราจรหนาแน่นเป็นเรื่องง่ายๆ เลยหล่ะครับ
นอกจากนั้นยังสามารถติดตั้ง TPMS หรือระบบวัดแรงดันลมยาง และ Heated Grip เพื่อความฟินของอุ้งมือได้อีกขึ้นนึงด้วย
streetTwinspec
ขอบคุณ Triumph Motorcycles Thailand และ Britbike ที่ให้เกียรติกับเราได้เป็นส่วนนึงในการรีวิวนี้
Credit : https://www.motonaked.com/reviews/20160215/review-triumph-street-twin-ride-fun-custom/